ราชาตัวน้อย

คำนิยามของคำว่า "กำไรชีวิต" ของคุณคืออะไร? สำหรับผมคำว่า กำไรชีวิต คือ การได้พบปะกับผู้คนที่หลากหลาย การเดินทางท่องไปทั่วโลก การได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมภายใต้บทบาทหน้าที่อันได้รับมอบหมาย รวมทั้งการได้แบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่เป็นแร็งบันดาลใจผ่านการพูดคุยเรื่องราวต่างๆให้กับสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบตัวผม แค่นี้ก็พอแล้วหละสำหรับ คำว่า กำไรชีวิต

มุมมองของคนตัวเล็กๆ

"สิ่งที่ทุกคนเห็นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเพราะมนุนษย์มีความซับซ้อน เราจึงอยากจะเข้าใจคนอื่น และเข้าใจตัวเอง"

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ถึงเพื่อน.........ขอโทษที่ต้องพูด ตรงๆ แรงๆ





  • ผมเลือกที่จะไม่เลือกคุณหรือใคร แต่ผมเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเองต่อไป 
  • ผมเข้าใจเสมอมาว่า “คนเราต้องยอมสละทิ้งสิ่งหนึ่งเพื่อการได้มาอีกสิ่งหนึ่ง” 
  • ผมเลือกที่จะไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง เพราะผมเชื่อว่าชีวิตของเรานั้นจะมีความหมายและคุณค่าได้อย่างไรเหล่าหากแต่มีชีวิตที่ไร้ซึ่ง อิสระ ความฝันและหวัง 
  • ผมเต็มใจยอมรับผลของการตัดสินใจของตัวเอง ถึงแม้ว่าสุดท้ายผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่โดยลำพังก็ตาม   
  • ขอบใจคุณ  คุณ และหลายๆคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ ผม ผมขอให้คุณจงกว้าเดินจากไปซะเถอะ
“อย่าเอาความรู้สึกทางอารมณ์มาพยายามยัดเหยียดให้ผมเป็นดังที่พวกคุณคาดหวัง”


  • ผมไม่ชอบคนที่พยายามจะเดินข้ามเส้นที่ขีดไว้ในฐานะของเพื่อน พี หรือ น้อง เพื่อกลายมาเป็นคนรักกัน สำหรับผมแล้วผมคิดว่า "มันไม่ใช่"
  • ผมคิดว่าองค์ประกอบที่สำคัญของชีวิตของคนเรานั้น ไม่ใช่การมีชีวิตคู่ สิ่งที่สำคัญกว่าการมีชีวิตคู่ คือ การที่เรามี ”กัลยาณมิตร”มากกว่าการมีเพื่อนที่ดีนั้นมันเป็นสิ่งที่วิเศษกว่า "การคนรัก"เพราะคำว่า คนรัก นั้นมันอาจจะหมายถึงการสร้างบ่วงพันธนาการที่จองจำเรา หรือคนสองคนไว้ด้วยกันเป็นเสมือนผีเสื้อที่ถูกเด็ดปลีกอันงดงาม หรือแมลงป่องที่ไร้ซึ่งหางพิษอันทรงเสน่ห์น่าเกรงขาม 
  • มันอาจจะเป็นเพราะความผิดพลาดในอดีตนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญทำให้ผมกลัวไม่กล้าที่จะเริ่มต้นไม่พร้อมเปิดใจสักที มันเป็นเรื่องจริงเหมือนคุณและหลายๆ คน พยายามปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากฝันร้าย เพื่ออยู่กับปัจจุบัน 
  • สุดท้ายผมก็ยังคงพอใจที่จะหลับต่อไปอยู่ดี หากถ้าผมตื่นขึ้นมาจริงๆ ผมคงตื่นขึ้นมาเพื่อทำความฝันของตัวเองและครอบครัวให้สำเร็จ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือ เป้าหมายของชีวิตผม
      • ผมรู้ว่าคุณคงผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่ผมพูดเพราะมันอาจจะแรงไปแต่มันเป็นเรื่องจริงที่ผมรู้สึก ขอโทษที่พูดแรงๆ  
      • ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณก้าวพ้นเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ด้วยดี และหวังว่าคุณคงได้พบเจอคนที่ใช่และคู่ควร   
      ...............................................................................................
      • งหาความฝันให้เจอและจงสร้างความฝันของคุณให้เป็นจริงตามรูปแบบเป็นเรา
      ชีวิตคนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบและประสบพบเจอกับสิ่งดีๆหรือเรื่องที่เป็นดังเราหวังไปเสียทุกเรื่อง 
      • จงใช้ความล้มเหลวเป็นครูเพื่อพบเจอกับความสุขและความสำเร็จในชีวิตใหม่ต่อไป  
      • จงอย่าดูถูกหรือดูผิดกับความคิดและการตัดสินใจของคนอื่นโดยใช้ความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง"



      ขอบคุณมากคุณที่คอยเดินข้างกันตลอดมา 
      พร้อมรับฟังแลกเปลี่ยนปัญหาต่างที่เกิดมาโดยตลอด

      (สุดท้ายปัญหานั้นกลับย้อนมาเกิดขึ้นกับเราเสียเอง 
      เป็นเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่ากับชีวิตของเรา)

      ผมมีความสุขที่ได้มีชีวิตโสดสนิท ซึ่งนั้นเป็นเสมือนอิสรภาพที่งดงาม 
      อันไร้ซึ้งคำจำกัดความใดๆ จะเสมอเหมือน
      ถึงแม้บางคราวอาจจะมีความเหงา ความอ้างว้างล่องลอยมากระทบจิตใจของเราบ้าง
      ในเวลาเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้หรือเวลาที่อยู่คนเดียว สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นมันก็รอยผ่านไป
      ไม่เกาะติดอย่างยืดยาวเสมือนปัญหาที่คอยแก้ไขซ้ำซาก
      ผมเชื่อว่า ด้วยความดี และความสมบรูณ์แบบของชีวิตคุณบวกทั้งรูปร่างหน้าตา 
      และฐานะของคุณนั้นจะทำคุณได้พบเจอกับคนดีๆ  และขอให้คุณมีความสุข


      Kochinoraj……………

      วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

      หิ้วกล้องตะลุยเที่ยว"ทัชมาฮาล" แบบ alone ทัวร์




      สำหรับผมสถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่บันทึกเรื่องราวดีๆ เมื่อครั้นวันวาน ดังนั้นพอได้กลับมาเที่ยวอีกครั้ง ผมจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ และเดินเก็บรูปภาพสวยๆ  ไปเรื่อยๆ ประโยคบางประโยคผุดขึ้นมาในหัวสมองนั้นคือคนเราไม่ลืมไม่มี มีแต่จะลืมช้าหรือลืมเร็ว


      มาฟังประวัติโดยย่อของ ทัชมาอาลกันดีกว่าครับ  ทัชมาอาลเป็นสุสานหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สวยงามสมบูรณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมนา  เมืองอักรา ทัชมาฮาลสร้างขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อประมาณค.ศ. 1630 - 1652  ใช้เวลาก่อสร้าง 17 ปี  ใช้เวลาตกแต่ง 5 ปี  รวมเวลาทั้งหมด 22 ปี  ใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านรูปี   โดยพระเจ้าชาห์  เจฮัล   กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล   เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อพระมเหสีมุมตัส   สุสานทัชมาฮาลสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นรูปโดมตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซียสูง 61 เมตร   ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างด้านละ 95 เมตรหนา 5 เมตร   มีหอคอยยอดแหลมสูง 95 เมตร   ตั้งอยู่ที่มุมของฐานประจำ 4 ทิศ   ใช้คนงานในการสร้างประมาณ 22,000 คนควบคุมการสร้างโดย  อัสตาด  ไอซา  สถาปนิกในสมัยนั้น


      ท่านมหาตมะคานทีเคยให้นิยามเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ว่า เป็นปฏิมากรรมแห่งการสังเวยชีวิตผู้คนอันหลายหมื่นแสนคน ความงดงามที่เต็มไปด้วยเสียงร่ำให้ ความทุกข์ทรมารอันแสนสาหัสของพวกทาส มีวัตถประสงค์เพียงเพื่อสรรค์สร้างอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ราชามีต่อชายา   อืม.....มันเป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ


       ผมชอบประสาทหลังนี้มากกว่าประสาทสีขาวที่ทำด้วยหินอ่อน เหตุผลเพราะมันเงียบสงบมากเวลาลมพัดผ่านบานประตูเราจะได้ยินเสียคล้ายๆบทเพลงจากธรรมชาติที่ไพเราะมากๆ ยิ่งเวลาแสงอาทิตย์กระทบกับประสาทหินสีน้ำตาลมันช่างงดงามจริงๆ งามเกินกว่าถ้อยคำทางภาษาจะบรรยายได้



      ทุกลายละเอียดถูกสร้างสรรค์ด้วยความตั้งใจ เฉกเช่นความรู้สึกอันละเอียดอ่อน และซับซ้อนของมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยความทรงจำ

       




      เรื่องราวของความรักเกิดขึ้นที่นี่และสิ้นสุดลงที่นี่เช่นกัน.....ปราสาทสีดำไม่สามารถปรากฎเคียงคู่กับปราสาทสีขาวได้มันคงเป็นเพียงตำนานถูกเล่าขานจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ



      หรือมันอาจจะเป็นได้แค่ความทรงจำที่น่าจดจำ แต่ทุกย่างก้าวที่ได้มาเหยียบสถานที่แห่งนี้อีกครั้งมันทำให้ผมคิดถึงใครบาง คนจัง  "ทัชมาฮาล"


      โบกมืออำลาคุณพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าที่นี่......ทัชมาฮาล

      บวชให้ยาย

      เริ่มต้นด้วยงานบวชให้ยาย สิ่งที่ตั้งใจทำเพื่อยายของผมกิจกรรมที่ทำให้แม่และครอบครัวของผมเกิดรอยยิ้มความปราบปลื้มใจ รวมทั้งตัวผมเองด้วย ก่อนที่จะเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ที่อินเดีย
      แม่ตัดผมให้ผมพร้อมให้พร พร้อมกับญาติๆ ลุงป้า น้า อา ของผมที่ผมนับถือ

      ตามอุ้ยใจ๋เพื่อนสนิทของยายผมและญาติพี่น้องท่านอื่นๆ

       เจ้าอาวาทวัดพนาลัย หมู่บ้านที่ผมถือกำเนิด

       ก่อนที่จะเป็นพระโดยสมบูรณ์แบบลุงของผมและพระเณรช่วยกันใส่เครื่องแบบเต็มยศให้ผมด้วย

       หลายๆคนปราบปลื้มใจจนน้ำตาไหล ผมก็คงเป็นเช่นนั้นด้วย
                                              
               หลังจากนั้นไม่นานผมก็เดินทางมาใช้ชีวิตนักศึกษาอีกครั้งที่เมืองเล็กๆ ณ รัฐปันจาบ ในสาขาวิชา ปรัชญา ที่เมืองของ "มารีโอ้" เกมส์ที่ผมชอบเล่นในสมัยเด็กๆ ผมจินตนาการไม่ออกว่าจะสู้กับสภาวะอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองได้ไหม กับการใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวในครั้งแรก  แต่ที่แน่ๆ คนอย่างผมถ้าคิดจะลุยแล้วต้องถึงที่สุด คนเราคิดจะเก้าไม่มีคำว่าถอยหลัง อืม....มันช่างเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากยิ่งนักสำหรับผู้ชายตัวเล็กๆอย่างผมแต่ผมเชื่อว่าผมทำได้

      แร็งบันดาลใจในการทำเว็ป....การเดินทางท่องเที่ยว และบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ กับคนตัวเล็กที่ทำอะไรไม่ได้ดีสักกะเรื่อง

      หากถามว่าการตัดสินใจเดินทางมาอินเีดียครั้งแรกของผม ใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน คำตอบก็หนีไม่พ้นคือ คนที่อยู่รอบข้างผม อาทิเช่น คนสนิททีเคยเป็นเงาของผม ยาย แม่ พี่ชาย อาศรมวงค์สนิท ดร. มณี รามูวานา และเพื่อนๆ พี่ๆ   ทุกคนให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผมมาตลอด

      แต่ถ้าถามว่าใครเป็นคนที่มีอิทธิพลในเรื่องของการให้ทัศนะการดำเนินชีวิตแก่าผมและทำให้ผมกล้าคิดกล้าทำ กล้าที่จะตัดสินใจแหกกระแสสังคมในการที่จะคิดหรือทำบางอย่างในบางมิติอันยากจะอธิบายได้ คนๆนั้นคือ คุณยายของผมเองครับ ท่านมักสอนผมเสมอว่า

      "เกิดมาเป็นมนุษย์อย่าไปแคร์อะไรกับสังคมมาก พึงมีสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ และทำตัวให้ดีมีศีลธรรมประจำใจคิดดีทำดีแค่นั้นก็พอแล้ว" และคำพูดที่ว่า "อย่ากลัวกับการทำผิด ผิดแล้วให้จำ คนไม่เคยทำผิด คือ คนที่ไม่เคยทำอะไร" 


                 วันเวลาผ่่านมากอย่างรวดเร็วหลังจากผมเรียนจบ และกลับมาอยู่กับยายได้แค่เพียงสองเดือน จากนั้นยายของผมก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหัน ผมเสียใจมากที่ไม่ได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับยาย คือ การพาท่านขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวที่ กรุงเทพ หรือ เชียงใหม่  เพราะมัวแต่ยุ่งๆ กับเรื่องการสมัครงาน และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผมไม่ชอบเดินทางโดยเครื่องบิน(ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ)เพราะทำให้ผมเกิดความรู้สึกเหงาคิดถึงยายทุกครั้งเมื่อนั่งเครื่องคนเดียว
                 ก่อนเดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ที่อินเดียในครั้งนี้ ผมจึงตั้งใจบวชอุทิศส่วนกุศลให้ยาย และอยากจะบวชเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ชีวิตที่โสดสนิท  ซึ่งเป้าหมายหลักในการผจญภัยในครั้งนี้มีเรื่องเรียนเป็นเรื่องหลัก ส่วนเรื่องเที่ยวเป็นเรื่องรอง และทุกๆเรื่องราวจะถูกบันทึกไว้ใ้ห้ครอบครัวและเพื่อนรวมทั้งคนที่สนใจได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของผมและเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ซึ่งผมจะหาเวลามาบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ผมสัญญา

              


      วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

      ปฐมบทของการเดินทางว่าด้วย "ความมืด" และ"แสงสว่าง"


      ถ้าตัวของผม ความรู้สึกของผม  จิตวิญญาณของผม 
      และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมกำลังทำอยู่คือสิ่งที่ถูกแทนค่า
      ด้วยคำว่า ความมืด 
      ผมขอให้คุณ ผู้ซึ่งเป็นเสมือนเป็นแรงบันดาลใจของผม
      ได้เจอซึ่งแสงสว่างที่คุณกำลังค้นหา  

      ขอให้คุณจงข้ามพ้นซึ่งความมืดมนนี้ไป
      ผมขอให้คุณได้พบซึ่งแสงสว่างเป็นเครื่องนำทางชีวิตใหม่ของคุณ
      และขอให้ชีวิตของคุณสดใส่ปราศจากซึ่งความทุกข์ทนและมืดมนตลอดกาล



      ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องเสียเวลาอันมีค่าสำหรับใช้เดินร่วมกันมานับกว่าครึ่งชีวิต
      แต่สำหรับผมการที่ได้ใช้เวลาเดินทางร่วมกันมากว่าครึ่งชีวิตนี้คุณทำให้ผมได้รับรู้ว่า
      บนโลกใบนี้มันกว้างใหญ่และมีความหมายเหลือ เกินท้องฟ้า ดวงอาทิตย์  
      ดวงดาวและดวงจันทร์ที่แสนธรรมดากลับดูมีค่าและมีความหมาย 
       คุณทำให้ผมมีทัศนะคติในการมองโลกเปลี่ยนแปลงไป
      คุณเป็นเหมือนแสงสว่างที่จุดประกายความฝันให้ผม
      คุณทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน นักอ่าน  
      นักท่องเที่ยว และเป็นนักฝัน


      การเริ่มต้น และการสิ้นสุดลง ของคำว่า เราเกิดขึ้นและจบลง  
      จุดที่เรียกกันว่าปลายเส้นขอบฟ้า ณ บริเวณที่กลางวันและกลางคืนมาบรรจบพบเจอกัน 
       


       นิยามแห่งความมืดและความสว่างเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งบนโลกนี้ หนีไม่พ้นวงจรแห่งธรรมชาติ  
      คือ  การเริ่มต้น  การดำรงอยู่ การเสื่อมโทรม และการสิ้นสุด 
      ขอบคุณ   คุณผู้ซึ่งเป็นบทเรียนแห่งชีวิตที่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น   
      และทำให้ผมกล้าที่จะเดินทางสู่โลกกว้าง
      ขอบคุณ คุณ ผู้ซึ่งทำให้ผมเข้าถึงความเป็นมนุษย์ นั้นคือ ความรัก โลภ ความโกรธ และความหลง

      ขอบคุณ อุปสรรค์ต่างๆ ที่ทำให้เราต้องห่างกันแสนไกลทั้งในด้านทัศนะคติ 
      และวิถีแห่งความคิดและขอบคุณการเวลา รวมถึงระยะทางอันแสนห่างไกล
      ที่ทำให้เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น

      "ผมยังยืนยันที่จะให้ชีวิตตามลำพังจนกว่าจะค้นพ้นพบแสงสว่างดวงใหม่
      อีกครั้งและยังรอคอยแสงสว่างดวงเดิมเป็นเครื่องนำทางตลอดไป"